#1 Kickstarter
น่าจะเป็นเว็บไซต์ระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุด Kickstarter ให้ทุนไปกว่า 67,000 โครงการ และระดมทุนได้มากกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์ ตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2009 ผลงานสำคัญๆ รวมถึง the Pebble e-paper watch, the Ouya gaming console และ the Veronica Mars movie โมเดลของ Kickstarter ดึงดูดผู้สนับสนุนที่กระตือรือร้นซึ่งผูกมัดด้วยรางวัลที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเข้าถึงก่อนใคร หรือ สินค้าลดราคา ท่ามกลางเคล็ดลับที่สร้างสรรค์อื่นๆ การส่งข้อเสนอได้รับการทบทวนอย่างเข้มงวดจากกลุ่มคนทำงาน 89 คนที่ Brooklyn ซึ่งมีค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้คือ5%สำหรับโครงการที่ประสบความสำเร็จได้รับทุน
#2 GoFundMe
ที่ GoFundMe คุณจะเห็นโครงการของบุคคลมากกว่าผู้ประกอบการธุรกิจ เช่น การระดมทุนให้สัตว์เลี้ยง การผ่าตัดของเพื่อน หรือแม้กระทั่งระดมทุนเพื่อการไปเที่ยวพักร้อนกับครอบครัว GoFundMe ได้โฆษณาว่าเป็นเว็บไซต์ระดมทุนส่วนบุคคลอันดับหนึ่งของโลก และได้ระดมทุนไปได้แล้วกว่า 400 ล้านดอลลาร์ รวมถึงกว่า 3 ล้านดอลลาร์สำหรับผู้เคราะห์ร้ายจากระเบิดที่บอสตันมาราธอนในปี 2013 ขณะที่เว็บไซต์เติบโตในด้านการระดมทุนเพื่อเป้าหมายส่วนตัวและช่วยผ่อนคลายความพยายามต่างๆ เว็บไซต์นี้ก็ยังมีพื้นที่สำหรับโครงการที่สร้างสรรค์และส่วนมากดึงดูดด้านดนตรีและหนัง GoFundMe หัก 5% จากแต่ละการบริจาคและเก็บค่าบริการอีก3%
#3 Indiegogo
เริ่มปฏิบัติการเมื่อปี 2008 เน้นไปที่การให้ทุนโครงการทำหนัง Indiegogo เป็นเว็บไซต์ระดมทุนยุคแรกๆที่ยังคงความมีชื่อเสียงที่สุดและสามารถระดมทุนได้เป็นอย่างดี บริษัทได้ปิดการรับทุนระดับ Series A – การปรับปรุงผลิตภัณฑ์เพื่อรับกับรูปแบบของธุรกิจกับตลาดจริงๆ ในเดือนมิถุนายน ปี 2012 ที่ 15 ล้านดอลลาร์ และปิดอีก 40 ล้านดอลลาร์ในระดับ Series B – ถึงเวลาขยายบริษัทให้ใหญ่แล้ว เมื่อเดือนมกราคม ปี 2014 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Indiegogo ก็ได้ขยายการสนับสนุนไม่เพียงแค่โครงการทำหนัง ทั้งยังได้ส่งเสริมการระดมทุนให้กับโครงการที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดีที่สุด “Let’s Build a Goddamn Tesla Museum” Indiegogo เก็บค่าธรรมเนียมสูงถึง 9% สำหรับแคมเปญที่ไม่บรรลุเป้าหมาย แต่คืนให้ 5% ถ้าโครงการประสบความสำเร็จ
#4 Crowdrise
Crowdrise มีความเชี่ยวชาญด้านการบริจาคเพื่อการกุศลและเป็นผู้นำด้านการจัดงานด้านระดมทุน มาราธอนที่นิวยอร์ก บอสตัน การแข่งขัน Ironman ไปจนถึงการจัดแพลตฟอร์มต่างๆ หนึ่งในงานที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่ Crowdrise Impact Points ในแต่ละการบริจาค โครงการต่างๆจะได้แต้มที่ช่วยโปรโมทแคมเปญในหน้าแรกของเว็บไซต์ ผู้นำแต่ละแคมเปญสามารถที่จะแลกแต้มเป็นของขวัญจากCrowdrise เช่นเสื้อยืดและแม้กระทั่งหมวก สำหรับสมาชิกประเภทที่ไม่เสียค่าสมาชิก Crowdrise จะหัก 5% หากเสียค่าสมาชิกรายเดือนที่ 49 ดอลลาร์ จะลดเหลือ 4% หรือ 199 ดอลลาร์ ลดเหลือ 3%
#5 Crowdfunder
ในขณะที่ Kickstarter และ Indiegogo เล็งไปที่ผู้ที่มองหาทุนในการตั้งต้น และผู้ที่สามารถให้การสนับสนุนได้ Crowdfunder อนุญาตให้สตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กระดมทุน จากการขายส่วนของผู้ถือหุ้น หนี้สิน และ หุ้นที่มีรายได้ ผ่านระดับ Seed Fund – ค้นหาจุดที่ลงตัวระหว่างตัวผลิตภัณฑ์ หรือบริการของคุณกับผู้ใช้งาน มาเป็นระดับ Series A – การปรับปรุงผลิตภัณฑ์เพื่อรับกับรูปแบบของธุรกิจที่เหมาะสม (กับตลาดจริงๆ) โดยโครงการของCrowdfunder จะดึงดูดผู้ลงทุนสองรูปแบบคือ กองทุน “Venture Capital” ที่มีนโยบายนำเงินลงทุนเข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัท เมื่อถึงเวลาบริษัทมีกำไรก็แบ่งกันตามสัดส่วนการถือหุ้น ส่วนใหญ่เมื่อลงทุนไปแล้วระยะหน฿่งประมาณ 3-5 ปีขึ้นไปก็จะถอนตัว ความคาดหวังคือบริษัทที่ลงทุนสามารถเข้าจดทะเบียนในตลากหลักทรัพย์ได้ และจะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยปกติมักจะลงก้อนละประมาณ $100,000 -$250,000 ดอลลาร์ และนักลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งคือ “Angel Investor” หรือนักลงทุนอิสระที่เอาทุนส่วนตัวมาลง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ประมาณ $50,000 ดอลลาร์ต่อบริษัท ซึ่งบางครั้ง บริษัทบางบริษัทที่ต้องการเงินลงทุนตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย อาจขอเงินลงทุนจาก Angel Investor ในปริมาณ $20,000-$50,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อแลกกับหุ้น 5%-10% มาเพื่อเริ่มต้นบริษัท จนเกิดเป็น “Angel Round” ก่อนที่จะมี “Seed Round” นักลงทุนเหล่านี้สามารถลงทะเบียนเป็นนักลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้งได้ที่เว็บไซต์นี้
#6 RocketHub
นอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มในการระดมทุนแล้ว RocketHub ยังสนับสนุนโรงเรียนแห่งความสำเร็จเพื่อผู้ประกอบการขององค์กรที่อบรมด้านการตลาดและการพัฒนาให้ฟรี เว็บไซต์นี้ยังเป็นพันธมิตรกับ A&E ชื่อโครงการสตาร์ทอัพ ซึ่งเครือข่ายได้เลือก โครงการในRocketHubไปออกทีวีและโปรโมตออนไลน์รวมทั้งให้เงินทุนตั้งต้นในจำนวนที่มีความหมาย RocketHub หัก 8% จากโครงการที่ล้มเหลวในการบรรลุจุดมุ่งหมาย และ 4% ของโครงการที่ประสบความสำเร็จ
#7 Appbackr
http://appbackr.mediajunction.com/aboutUs
Appbackr ตั้งขึ้นเพื่อการให้ทุนโมบายแอพพลิเคชันที่กำลังขายหรือยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา และผู้สนับสนุนยังมีโอกาสได้รับส่วนของผลกำไร ผู้ลงทุนสามารถซื้อก็อบปี้ของแอพพลิเคชันได้มากเท่าที่ต้องการในตลาดสินค้าของappbackr เมื่อมีการขายแอพในร้านค้าโมบายแอพพลิเคชัน ผู้ลงทุนก็จะได้กำไรจากราคาที่ต่างระหว่างราคาซื้อตั้งราคาขาย ไม่มีการหักรายจ่ายที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับราคาของแอพพลิเคชันและแพลตฟอร์มนั้นๆ
#8 AngelList
https://index.co/company/angellist
หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “badass platform for startups” AngelList ใช้รูปแบบของเครือข่ายโซเชียลมีเดียในการระดมทุน และเตรียมแพลตฟอร์มสำหรับสตาร์ทอัพ ผู้ลงทุน และผู้หางาน โดยผู้ประกอบการสามารถค้นหาประวัติของผู้ลงทุนซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความสนใจและโครงการอื่นที่เขาลงทุนด้วย บริษัทต่างๆสามารถที่จะแสดงถึงความสำเร็จด้านการระดมทุนเพื่อแชร์ให้นักลงทุนอื่นๆที่ได้รับการแต่งตั้งในเว็บไซต์ได้เห็นอีกด้วย เครือข่ายโซเชียลมีเดียนี้ได้เริ่มขึ้นภายใต้ชื่อSyndicates ซึ่งอนุญาตให้ผู้ลงทุนมาเป็นพันธมิตรในกองทุน และ AngelList หัก 5%
#9 Invested.In
เว็บไซต์นี้มองไปไกลกว่าการหาเงินแต่เป็นการขายบริการการระดมทุนสาธารณะในฐานะผู้ให้บริการโปรแกรม White Label เขาให้บริการด้านปฏิบัติการในการสร้างเว็บไซต์ระดมทุนที่เป็นส่วนตัวสำหรับนักพัฒนารวมถึงเว็บไซต์ การออกแบบกราฟฟิก และแบรนด์ พร้อมไปกับการสนับสนุนด้านการจัดการและความสามารถที่จะผสมผสานไปกับบริษัทอื่น สำหรับผู้ยังอยู่ในระดับเริ่มต้นและมองหาความช่วยเหลือด้านการวิจัยมากกว่า ทาง Invested.In สามารถทำการวิจัยและพัฒนาต้นแบบให้ เป็นผู้ให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องมือต่างๆ
#10 StartSomeGood
เป็นแพลตฟอร์มระดมทุนสำหรับความริเริ่มในการทำดีเพื่อสังคมโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร องค์กรที่ทำกำไร หรือไม่ได้อยู่ในรูปแบบบริษัท/การรวมกลุ่ม แคมเปญต่างๆต้องถึงจุดที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเพื่อให้ได้ทุนแต่ไม่จำเป็นต้องถึงเป้าหมายสูงสุดทั้งหมดขององค์กร บริษัทเก็บค่าบริการการ 5% StartSomeGood กำหนดไว้ด้วยว่าโครงการต่างๆนี้ต้องให้อะไรกลับคืนผู้สนับสนุน ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งง่ายๆเช่นแสดงรายชื่อผู้บริจาค หรือ ส่งข้อความขอบคุณ
#11 FundRazr
ตั้งอยู่ที่ประเทศแคนาดา มีเป้าหมายการระดมทุนส่วนใหณ่เพื่อเป็นการส่วนตัวหรือการทำแคมเปญการกุศล เริ่มด้วยการใช้เฟสบุคแอพพลิเคชัน ตามด้วยการใช้แพลตฟอร์ม FundRazrไม่ได้เชื่อมต่อนักลงทุนและผู้ประกอบการที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่เป็นการหาทุนจากบุคคลทั่วไปผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค หรือแหล่งอื่นๆสำหรับผู้โชคดีที่ได้โปรโมทในหน้าแรกของ FundRazr
#12 MoolaHoop
MoolaHoop จัดหาทุนให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการที่เป็นผู้หญิงโดยเฉพาะ เว็บไซต์เริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคม ปี 2013 เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสตาร์ทอัพที่กว่า 30% ก่อตั้งโดยผู้หญิง แต่มีเพียง 5% เท่านั้น ที่ได้รับทุนสนับสนุน ในตอนนี้เครือข่ายได้จำกัดไว้เพียงเพื่อหญิงอเมริกันที่เป็นเจ้าของธุรกิจ และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์นี้ก็ชาร์จค่าบริกาสูงกว่าทั่วไปคือหักค่าบริการ 9% ะแคมเปญจะจำกัดเวลาไว้เพียงแค่ 21วัน
#13 Peerbackers
หลังจากได้เห็นความสำเร็จของ Kickstarter และ Indeogogo ไปแล้ว Sally Outlaw ผู้เขียนเรื่อง Cash from The Crowd มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะมีเว็บไซต์ระดมทุนสาธารณะเพื่อผู้ประกอบการทั้งหมด เธอจึงได้ก่อตั้งเว็บไซต์ Peerbackers ขึ้นเมื่อ ปี 2011 Outlaw และ ผู้ก่อตั้งร่วมของเธอที่ชื่อ Andrew Rachmell มีประสบการณ์ในการผลิต The Next Life With Leonard Nimnoy ของ CNBC ที่เว็บนี้ พวกเขาส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอายุ 13 -17 ปี ได้ใช้เว็บไซต์นี้ในการรณรงค์ และช่วยผู้ประกอบการที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้วยการให้ใช้บล็อกและช่วยประชาสัมพันธ์ที่เว็บหลักของ Peerbackers ที่ชื่อ Crowdfunding Academy http://crowdfundingacademy.com/
#14 Razoo
ก่อตั้งในปี2007แรกเริ่มเว็บไซต์นี้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรในการระดมทุนออนไลน์ ซึ่งทำได้24ขั่วโมง ที่เรียกว่า Giving Days ซึ่งรวมไปถึงการเล่นเกมและมีของรางวัลเพื่อกระตุ้นให้มีการบริจาค กว่า 14,000 องค์กรเข้าร่วมการรณรงค์ที่แพลตฟอร์มนี้ และสามารถระดมทุนได้ไปแล้วถึง 165ล้านดอลลาร์ ในปี 2013 พวกเขาได้ใช้กลยุทธ์เดียการระดมทุนเพื่อผู้ประกอบโครงการเล็กๆ ที่ Razoo แคมเปญต่างๆมีเป้าหมาย, การแสดงผลงานโฆษณาที่สร้างสรรค์มากที่สุดที่ผู้คนเลือกชมบนYouTube, และการให้รางวัลผู้สนับสนุน ในทุกๆหนึ่งชั่วโมง
#15 Fundly
Fundly ได้เริ่มดำเนินการในปี 2009 ในบอสตัน โดยให้บริการแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายสำหรับแคมเปญการเมืองที่สามารถประกาศได้ในเครือข่ายออนไลน์ CEO Dave Boyce รายงานว่า กว่า 50%ของนักรณรงค์ในการเลือกตั้งกลางเทอมของวุฒิสภาปี 2010 ใช้ Fundly ซึ่งได้เงินมากว่า 71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาล Meg Whitman นำมาในอันดับแรกโดยระดมทุนได้ถึง 23 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Funขยายแพลตฟอร์มเพื่อครอบคลุมองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรทุกประเภทและสามารถระดมทุนได้มากกว่า 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เว็บบอร์ดนี้มีแอพพลิเคชัน iOS เป็นของตัวเอง ทำให้ง่ายที่ผู้คนจะเข้าถึงและได้รับข้อมูลล่าสุดของการรณรงค์ต่างๆ
#16 Quirky
สำหรับผู้ที่มีไอเดีย แต่ยังไม่สามารถทำเป็นสตาร์ทอัพได้ Quirky ยินดีที่จะทำหน้าที่นั้นแทนให้ถ้าคุณได้รับการเลือก เป็นการระดมทุนสาธารณะสำหรับไอเดีย จัดเตรียมแพลตฟอร์มสำหรับสมาชิกเพื่อส่งแนวคิดของพวกเขาและแบ่งปันความคิดเห็นของเขาให้ผู้อื่น นักประดิษฐ์ต้องตัดขาดการเป็นเจ้าของแนวคิด แต่ถ้าสินค้าได้มีการพัฒนาและประสบความสำเร็จในตลาด เขาจะได้ส่วนแบ่งผลกำไร 30% จากการขายที่ร้าน Quirky.com และ 10% จากการขายในตลาดอื่น
ที่มา:
https://www.forbes.com/pictures/fehg45eheg/kickstarter/#3fb2009a675f