กฏข้อที่ 1 98% ของพนักงานระดับท็อป 5% คำนึงถึงแต่ “เป้าหมาย” ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าขั้นตอน ให้ความสำคัญกับเวลาทุกวินาที จะตั้งเป้าหมายสูงขนาดต้องเอื้อมจนสุดปลายนิ้ว ใช้ความพยายามด้วยความตั้งใจของตัวเองเพื่อทำให้สำเร็จและพิชิตเป้าหมายได้จริง ให้ความสำคัญกับประเด็นที่ว่า เรากำลังทำงานเพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายใด ประเมินคุณภาพของผลงานจากการทำงานอย่างหนัก ไม่ใช่ระยะเวลาในการทำงาน
กฏข้อที่ 2 87% ของพนักงานระดับท็อป 5% แสดงจุดอ่อนออกมา มีความตั้งใจทำงานมาก และมักคิดไตร่ตรองก่อนลงมือทำ ถ่อมตนและอยากเรียนรู้เพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้น เวลาที่ไม่เข้าใจอะไร พวกเขาจะตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบเพื่อให้ตัวเองได้รับความรู้ใหม่ การทำเช่นนี้ช่วยให้ได้รับความเชื่อใจจากหัวหน้าและความเคารพจากรุ่นน้อง ใช้ทฤษฎีการให้ต่างตอบแทนเพื่อขอความคิดเห็นหรือข้อมูลจากผู้อื่น มีความเข้าใจว่าข้อมูลเชิงลึกที่ต้องการเป็นสิ่งที่ได้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ไม่ใช่จากอินเทอร์เน็ต
กฏข้อที่ 3 85% ของพนักงานระดับท็อป 5% มองความท้าทายเป็นการทดลอง มักไม่มองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องร้ายแรงที่แก้ไขไม่ได้ แต่จะเปลี่ยนความผิดพลาดให้เป็นบทเรียน มุ่งพัฒนาทักษะแบบทวีคูณแทนที่จะเป็นการบวกเพิ่ม ตัวอย่างเช่น ระหว่างการเลื่อนขั้นจากหัวหน้าฝ่ายขายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายกับการย้ายไปเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาด บางคนอาจจะเลือกสั่งสมประสบการณ์การตลาดที่ไม่เคยทำมาก่อน จึงเลือกที่จะเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดแทนที่จะเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขาย เพราะการสั่งสมประสบการณ์และพัฒนาทักษะในหลายๆ ด้านเช่นนี้ จะช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดให้สูงขึ้น มากกว่าคนที่มีผลงานโดดเด่นเพียงด้านเดียว
กฏข้อที่ 4 73% ของพนักงานระดับท็อป 5% ไม่เปลี่ยนทัศนคติ แทนที่จะเปลี่ยนทัศนคติแล้วค่อยลงมือทำ แต่จะลงมือทำก่อน แล้วทัศนคติจึงจะเปลี่ยนตาม คนที่มองโลกในแง่ดีมักเข้าหาคนที่เสริมสร้างทักษะในการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน จึงเกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้การสร้างความสัมพันธ์ในแง่บวกเช่นนี้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ การพูดออกมาก่อนว่าตัวเองก็เคยกังวลหรือมีปัญหาเช่นเดียวกับอีกฝ่ายเพื่อแสดงความรู้สึกร่วมแล้วจึงค่อยอธิบายจากประสบการณ์ตรงของตัวเองว่าทำอย่างไรจึงแก้ปัญหานั้นได้ จะช่วยสร้างบรรยากาศให้อีกฝ่ายเห็นพ้องมากขึ้น อย่างเช่น “ตอนแรกผมเองก็ไม่เห็นด้วย แต่พอลองทำแล้วช่วยลดเวลาทำงานได้ถึง 8%”
กฏข้อที่ 5 68% ของพนักงานระดับท็อป 5% คำนึงถึงช่องว่างอยู่เสมอ เปรียบเทียบการทำให้สำเร็จตามเป้าหมายเหมือนการปีนเขา วางแผนการเดินทางคร่าวๆ ระหว่างทางจะคอยหันกลับไปมองข้างหลังด้วย หากเริ่มรู้สึกว่ามาผิดทางจะรีบย้อนกลับไปทันที การพิจารณาตนเองในระหว่างทางเช่นนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้เราได้ปรับปรุงพฤติกรรมและขึ้นไปถึงยอดเขาโดยใช้เวลาน้อยที่สุด นอกจากนี้การตัดสินใจของเราอาจไม่ถูกต้อง 100% เสมอไป จึงต้องคอยตรวจสอบเป็นระยะและปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานอย่างยืดหยุ่น เพื่อไม่ให้เกิดการทำงานที่สูญเปล่า การมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง ตรวจสอบเรื่องที่ทำได้ดีและเรื่องที่ทำไม่ได้ดีโดยไม่ปิดบัง ถามความต้องการของลูกค้า (อุปสงค์) ก่อนทำงาน และทำความเข้าใจให้ได้ก่อน จากนั้นจึงปรับความต้องการของตัวเอง (อุปทาน) ให้ใกล้เคียงกับสิ่งนั้นมากที่สุดแล้วนำเสนอข้อมูลออกไป เตรียมตอบข้อสงสัยของลูกค้า และลดช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
ที่มา Habits of the Top 5% according to AI